Thursday, December 15, 2016

ห้องเรียนคุณภาพ

ห้องเรียนคุณภาพรายวิชาภาษาอังกฤษ

ครูพัชรินทร์  กันวะนา

หลักการและเหตุผล
ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ  พ.ศ.2542  แก้ไขปรับปรุง พ.ศ. 2545 มาตรา 34  กำหนดแนวทางในการจัดการศึกษาไว้ว่า  การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด  ฉะนั้นครูผู้สอนและผู้จัดการศึกษาจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ชี้นำ  ผู้ถ่ายทอดความรู้ไปเป็นผู้ช่วยเหลือส่งเสริม และสนับสนุนผู้เรียน สอดคล้องกับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตามโครงการพัฒนาผู้นำการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการกระจายอำนาจ ให้มีการเปลี่ยนแปลง สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในโรงเรียน และสามารถค้นหาวิธีปฏิบัติที่ประสบสำเร็จเป็นเลิศ  และได้กำหนดแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพการศึกษาแก่สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ในระดับปฏิบัติ คือระดับห้องเรียน ซึ่งห้องเรียนคุณภาพ( Quality  Classroom )เป็นแนวทางหนึ่งที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามศักยภาพ พอสรุปได้ดังนี้ 
1) พัฒนาตนเองเป็นครูผู้นำการเปลี่ยนแปลสู่ห้องเรียน 
2) ออกแบบการจัดการเรียนรู้อิงมาตรฐาน 
3) ใช้สื่อ  ICT เพื่อการสอนและสนับสนุนการสอน 
4) วิจัยในชั้นเรียน (CAR) : ให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรมที่เหมาะสมกับธรรมชาติของผู้เรียนหรือเนื้อหาวิชา เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง  
5) สร้างวินัยเชิงบวก : เน้นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม หรือคุณลักษณะ ด้วยกระบวนการเสริมแรงเชิงบวก


วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการดำเนินงาน
1.  เพื่อพัฒนาตนเองเป็นครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง
2.  เพื่อจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาและออกแบบการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษ   
3.  ใช้สื่อ ICT เพื่อการสอนและสนับสนุนการสอน 
4.  เพื่อทำการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน CAR1, CAR2, CAR3, CAR4
5.  เพื่อสร้างวินัยเชิงบวก

กระบวนการผลิตผลงาน หรือขั้นตอนการดำเนินงาน  หรือวิธีดำเนินการวิจัย
1.       ขั้นวางแผน (Plan) 
1.1         วางแผนการทำงานของตนเอง (ID Plan)
1.2   ครูศึกษาค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมจาก TEPE Online และอื่น ๆ
1.3   ศึกษาวิเคราะห์หลักการ จุดมุ่งหมาย โครงสร้างของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พ.ศ.2551 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 
1.4   จัดทำหลักสูตรสถานศึกษา โดยนำสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด มาเขียน
เป็นคำอธิบายรายวิชา จัดทำหน่วยการเรียนรู้ จากนั้นนำสาระการเรียนรู้มาวิเคราะห์แยกเป็นหัวข้อทำการวิเคราะห์หลักสูตร
1.5   รวบรวมแนวข้อสอบ O-Net สำรวจความต้องการของท้องถิ่น  สำรวจแหล่งเรียนรู้
ในท้องถิ่น ออกแบบสอบถามพฤติกรรมของผู้เรียน
1.6   จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้แนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารที่เน้นผู้เรียนเป็น
สำคัญ โดยนำหลักสูตรแกนกลาง  หลักสูตรสถานศึกษา แนวข้อสอบ O-Net วิเคราะห์ลงสู่แผนการจัดการเรียนรู้ที่เพื่อให้ผู้เรียนได้ตระหนักถึงความสำคัญของท้องถิ่น
1.7   สำรวจความพร้อมของสื่อ และจัดเตรียมสื่อการสอน วัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้ในห้องเรียน
คุณภาพครูพัชรินทร์  กันวะนา เช่น คอมพิวเตอร์  โปรเจคเตอร์  โต๊ะ เก้าอี้ มุมแหล่งเรียนรู้           สื่อออนไลน์  แบบฝีก เป็นต้น
1.8   วิเคราะห์ผู้เรียนเพื่อจำแนกศักยภาพของผู้เรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่าง
บุคคล ประสบการณ์พื้นฐานความรู้เดิม และวิธีการเรียนรู้ โดยจัดทำวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน : การวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล (CAR1) เรื่อง การวิเคราะห์ผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2558
1.9   จากนั้นนำแผนการจัดการเรียนรู้ ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์แล้วนำมา
ปรับปรุงแก้ไขตามที่ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนะ นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขก่อนนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้จริง

2.       ขั้นดำเนินการ  (Do) 
2.1   จัดการเรียนรู้โดยใช้ ICT ช่วยสอนตามแนววิธีสอนภาษาเพื่อการสื่อสารที่เน้นทักษะ
กระบวนการทางภาษา กระบวนการกลุ่ม และกระบวนการคิด เช่น  สื่อออนไลน์  สื่อDLIT สื่อในยูทูป สื่อที่ครูผลิตด้วยโปรแกรม Power Point  เพื่อสร้างความสนใจให้ผู้เรียนให้พร้อม
2.2   มีระเบียบการใช้ห้องเรียนเพื่อควบคุมการจัดกิจกรรมในห้องเรียน มีเกณฑ์การให้
คะแนนที่ชัดเจน โดยทั้งครูและนักเรียนร่วมกันหาคิดหาข้อตกลงการใช้ห้องเรียน
2.3   จัดทำวิเคราะห์ผู้เรียนเพื่อจำแนกศักยภาพของผู้เรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่าง
ระหว่างบุคคล ประสบการณ์พื้นฐานความรู้เดิม และวิธีการเรียนรู้ โดยจัดทำวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน : การวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล (CAR1)  การวิเคราะห์ผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา    ปีที่ 6 ปีการศึกษา 2558  ประเมินความรู้ก่อนเรียนและจัดกลุ่มเด็ก ได้แก่ เด็กเก่ง ปกติ อ่อน โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนให้เด็กปกติ สำหรับเด็กเก่งมีการเสริมทักษะด้วยใบความรู้ ใบงานเพิ่มเติม  ส่วนเด็กอ่อนได้จัดกิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อนโดยให้เด็กเก่งช่วยสอนเด็กอ่อน และมีคะแนนพิเศษให้เด็กเก่ง เป็นการสร้างวินัยเชิงบวกให้ผู้เรียนโดยใช้คะแนน ความเอื้ออารี ช่วยเหลือเพื่อนร่วมชั้นเรียน
2.4   สังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนในขณะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ บันทึกเก็บข้อมูล
เพื่อจัดทำการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน : การประเมินเพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ (CAR2)

3.       ขั้นตรวจสอบ  (Check)
3.1   วัดและประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามสภาพจริง  ด้วยวิธีการที่หลากหลาย 
ได้นำเครื่องมือวัด  มีการทดสอบสอบหลังเรียน  เพื่อเปรียบเทียบผลการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนและมีการประเมินผลระหว่างเรียนด้วยแบบฝึกหัด การฝึกทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินด้วยการเปลี่ยนกันตรวจกับเพื่อน หรือประเมินการทำงานร่วมกันทั้งครู ผู้เรียน และผู้ปกครอง ให้คำแนะนำการทำกิจกรรม หากผู้เรียนมีปัญหา ได้แนะนำและแก้ไขปัญหาโดยการให้เพื่อนช่วยเพื่อน  หรือนำสื่อซีดี ใบงาน ใบความรู้ แบบฝึกหัดที่ผู้สอนจัดทำขึ้นให้ผู้เรียนไปศึกษาที่บ้านเพิ่มเติม
3.2   จัดทำการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน : กรณีศึกษาผู้เรียน (CAR3) เรื่อง ปัญหาการเรียนรู้
ช้าของผู้เรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ห้อง 4
4.       ขั้นสรุปผล  (Action) 
4.1   ทำการบันทึกผลการเรียนรู้หลังเรียนทุกหน่วยการเรียนรู้เพื่อเตรียมปรับปรุง แก้ไขปัญหา
ในครั้งหน้า
4.2   สรุปผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายภาคให้ผู้บังคับบัญชาทราบและแนะนำแนว
ทางการแก้ปัญหาต่อไป โดยการจัดทำการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน : การประเมินเพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ (CAR2
4.3   หลังจากนั้นนำปัญหาจากเรียนการสอนมาจัดทำการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน : การ

พัฒนานวัตกรรมในการจัดการเรียนรู้ (CAR4) เรื่องผลการใช้ชุดการสอนเพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ สำหรับผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง Oral Expression


 ผลการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน มีดังนี้1)  ข้าพเจ้าครูพัชรินทร์  กันวะนา พัฒนาตนเองเป็นครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง ด้วยการอบรม พัฒนาความรู้ ทักษะภาษาอังกฤษ เช่น ผ่านการอบรมวิจัยเพื่อพัฒนาต่อยอดสู่ความเป็นเลิศ การสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิคส์ การจัดการเรียนรู้และพัฒนาสื่อการสอนวิชาภาษาอังกฤษ  เป็นผู้ผ่านการเรียนรู้กิจกรรม Knowledge Sharing   การจัดทำหลักสูตร 2551 และการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา  สู่ ทศวรรษที่ 21
2) ได้พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ม. 1, 2, 4  และ ม. 6 ที่สมบูรณ์ใช้งานได้จริง
3) ใช้ ICT เพื่อการสอนและสนับสนุนการสอน  และการจัดการเรียนรู้  ได้แก่ การใช้สื่อออนไลน์ DLIT  สื่อจากยูทูป  สื่อที่ครูผู้สอนและนักเรียนผลิต  เช่น Power Point นำเสนองาน ความรู้ เรื่อง Oral Expression,  Tenses เป็นต้น
4) จัดทำการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน CAR1, CAR2, CAR3, CAR4  ได้แก่      4.1  จัดทำรายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน CAR1 ได้รู้จักผู้เรียนเป็นรายบุคคล เห็นความแตกต่างของผู้เรียน เรื่อง การวิเคราะห์ผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2558      4.2  จัดทำรายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน CAR2  ได้รู้ปัญหาและแนวการจัดการเรียนการสอนที่ผ่านมา      4.3  จัดทำรายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน CAR3  ได้แก้ไขปัญหาให้ผู้เรียนอย่างเป็นระบบ (CAR3) เรื่อง ปัญหาการเรียนรู้ช้าของผู้เรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 2 คน
      4.4  จัดทำรายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน CAR4  ได้นวัตกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับผู้เรียน เรื่อง การพัฒนาแบบฝึก เรื่อง Oral Expression   5)  การสร้างวินัยเชิงบวก ผ่านระบบดูแลช่วยเหลือผู้เรียน  ส่งผลให้ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข ครูผู้สอนและผู้เรียนมีความสัมพันธ์ที่ดี  ดูจากครูผู้สอนได้เป็นครูดีในดวงใจ และแบบประเมินความพึงพอใจการจัดการเรียนรู้ของครูพัชรินทร์  กันวะนาภาพรวมอยู่ในระดับมาก


Monday, August 22, 2016

Present Continuous Tense
โครงสร้าง  
Present Continuous Tense
Subject + is, am, are + Verb-ing + ( Object )

หลักการใช้
1. เมื่อการกระทำดำเนินอยู่ในปัจจุบัน (ขณะพูด) และต่อเนื่องมาถึงบัดนั้น และจบในอนาคต เช่น
     My uncle is listening to the radio.    (ลุงของผมกำลังฟังวิทย)ุ
     What is he doing?                             (เขากำลังทำอะไรเหรอ?)

2. การกระทำที่เกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นขณะนั้นจริง เช่น
    -  More and more people are using Internet.          (ผู้คนเริ่มเล่นอินเทอร์เน็ตมากขึ้นทุกที)
    -  
Accidents are happening more and more frequently. (อุบัติเหตุเกิดขึ้นมากและบ่อยขึ้น)
3. แสดงเหตุการณ์ในอนาคต เกิดขึ้นแน่นอน เช่น
-   We are planning to go to the beach next week.    (พวกเราวางแผนจะไปเที่ยวทะเลอาทิตย์หน้า)

  -  She is going abroad next Tuesday.       (หล่อนจะไปต่างประเทศวันอังคารหน้า)
4. ถ้าประโยคเชื่อมด้วย and ( 2 ประโยค) ให้ตัด Verb to be ที่อยู่หลัง and ออก เช่น 
  -   My father is smoking a cigarette and watching television.  (คุณพ่อของฉันกำลังสูบบุหรี่และดูโทรทัศน์)
หลักการเติม -ing
1. คำพยางค์เดียวที่มีสระตัวเดียวและมีตัวสะกดตัวเดียว ต้องเพิ่มตัวสะกดอีก 1 ตัว แล้วจึงเติม ing เช่น
run ---> running
วิ่ง
stop ---> stopping
หยุด
2. คำ 2 พยางค์ที่ลงเสียงหนัก (stress) ที่พยางค์ท้าย และพยางค์ท้ายมีสระตัวเดียว มีตัวสะกดตัวเดียว ต้องเพิ่มตัวสะกดอีก 1 ตัว แล้วจึงเติม ing เช่น
begin ---> beginning
เริ่มต้น                      forget ---> forgetting ลืม 
3. คำที่ลงท้ายด้วย e และไม่ออกเสียงตัว e ให้ตัด e ทิ้งก่อน แล้วจึงเติม ing เช่น
make ---> making
ทำ                                  use ---> using ใช้ 
4. คำที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็น y แล้วจึงเติม ing เช่น
tie ---> tying
ผูก 
5. คำที่ไม่มีลักษณะพิเศษตามข้อ 1-4 ให้เติม ing ได้ทันที เช่น
walk ---> walking
เดิน

กริยาที่ไม่ใช้ใน  Continuous Tenses  ได้แก่
1. กริยาที่แสดงการรับรู้ (verbs of perception)
2. แสดงภาวะของจิตใจ (state of mind)
3. ความรู้สึก (feeling)
4. สัมพันธภาพ (relationship) เช่น
hear ได้ยิน                       love รัก                        remember จำได้                     see เห็น
hate เกลียด                      recognize รู้จัก             feel  รู้สึก                                 know รู้

Exercise  แบบฝึกหัด
1. They ____________ the windows now.
1. is shutting
2. am shutting
3. to
shuting
4. are shutting 
2. He_________ his bedroom now.
1. is cleaning
2. are cleaning
3. am cleaning
4. to cleaning
3. __________ they studying English now?
1. Does
2. Am
3. Is
4. Are
4. The girls ____________in the playground now.
1. is not running
2. are not running
3. not
runing
4. don’t run 
5. The dogs ________ at that boy now.
1. is barking
2. are barking
3. barks
4. to barking
6. She _________on the chair.
1. siting
2. to sitting
3. is sitting
4. are siting
7. _______she playing the computer game?
1. Are
2. Am
3. Is
4. Do 
8. I___________ a picture now.
1. is drawing
2. are drawing
3. am drawing
4. to drawing
9. He ___________TV. at this moment.
1. are watching
2. is watching
3. do watches
4. am watching
10. My father _____________the car now.
1. is not driving
2. are not driving
3. am not driving
4. don’t driving
ครูพัชรินทร์  กันวะนา 

Present Simple Tense

Present Simple Tense

โครงสร้างประโยค  คือ   Subject + Verb 1
ใช้กับเหตุการณ์
  1.ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นความจริงตลอดไปหรือเป็นความจริงตามธรรมชาติ เช่น
  The sun rises in the east.   (พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก)
  Fire is hot.  (ไฟร้อน)
2.ใช้กับการกระทำที่ทำจนเป็นนิสัย มักจะมีกลุ่มคำที่มีความหมายว่า เสมอๆ บ่อยๆ ทุกๆ อยู่ด้วย เช่น
  I get up at six o’clock everyday.    (ฉันตื่นนอนเวลา 6 นาฬิกาทุกวัน)

ลักการจำและนำไปใช้
  1.ประธาน He, She, It หรือ 1 เดียวเท่านั้น ต้องเติม s หรือ es ท้ายคำกริยาด้วย มีกริยาช่วย คือ does 
  2.ประธาน I, You, We, They, หรือ 2 ขึ้นไป กริยาเหมือนเดิม มีกริยาช่วย คือ do
  3.do และ does  ใช้ในประโยค คำถามและปฏิเสธ
  4.ในประโยคมีคือ does กริยาไม่ต้องเติม s / es
ชนิดของประโยค
1.ประโยคบอกเล่า =   Subject + Verb1 + (Object).   เช่น
   - She likes English.
  - Jack plays football everyday.
  - I like Thai.   
  - Jack and his friends play football everyday.
2.ประโยคปฏิเสธ ใช้ do not (don’t), does not (doesn’t) ตามด้วยคำกริยาแท้รูปเดิม เช่น
  - I don’t like Thai.
  - She doesn’t like English.
   - Jack doesn’t play football everyday.
3.ประโยคคำถาม
  3.1Yes/No question
ใช้  Do, Does + ประธาน + กริยา? เช่น
  - Does she like English? 
  - Does Jack play football everyday?                 
  - Do you like Thai?
  - Do Jack and his friends play football everyday?
การตอบแบบ Short answer  
 - Yes, he/she/it does.
- No, he/she/it doesn’t.
- Yes, I/you/we/they do.
- No, I/you/we/they don’t.
3.2ใช้ Question words 
  (What/ Where/ When / Why/ ……+ do/does + ประธาน + กริยา…….?) เช่น
  * What do you eat for lunch?                          - I eat noodles.
  * Where does Jim go Mondays?                     - He goes to school.  
หลักการเติม s ที่คำกริยา
  1.กริยาที่ลงท้ายด้วย o, s, x, ch, ss, และ sh,  ให้เติม es เช่น
  pass - passes = ผ่าน                       brush - brushes = แปรงฟัน             catch - catches = จับ
  go - goes = ไป                               box - boxes = ชก
2.กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y ไม่ใช่ a e i o u ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น
  Study - studies เรียน                       cry - cries = ร้องไห้                       fry - fries = ทอด    
  3.กริยาที่นอกเหนือจากที่ไม่เข้ากฎในข้อ 1 และ ข้อ 2 ให้เติม s ได้เลย

Adverb of Frequency  
  ใช้ขยายคำกริยา เพื่อบอกถึงความถี่ของการกระทำ และจะวางไว้หน้าคำกริยานั้นๆด้วย ยกเว้น sometimes อยู่ ต้นประโยคก็ได้ เช่น
  always      สม่ำเสมอ 100 %
  usually      เป็นประจำ 80 %
  often         บ่อยๆ 60 %
  sometimes      บางครั้งบางคราว 30 % 
  seldom      นานๆครั้ง 10 % 
  never       ไม่เคย 0 % 
Examples:
  - Sandy always goes to school early.
  - Mary usually cooks dinner.
  - We often drink milk.
  - I never go to London.
  - Sometimes I eat pizza for lunch.

แบบฝึกหัด
เรื่อง Present Simple Tense
คำชี้แจง   แบบทดสอบชนิดหลายตัวเลือก  ให้เลือกคำตอบที่ถูกเพียงคำตอบเดียว
1. She __________ Chinese everyday.
a. study                                     c. studys
b. studies                                  d. studying
            2. Mr. John usually _________ his car to the office.
             a. drive                                     c. drives
             b. driven                                   d. driving
             3. They ____________ to school at 8.00 a.m.
             a. go                                         c. gone
             b. goes                                     d. going
             4. You and I ___________ to sing a song.
             a. liked                                    c. like
             b. liking                                  d. likes
             5. They ___________ their car.
             a. dont drive                         c. doesnt drive
             b. dont drives                       d. doesnt drives
             6.   Jack and Jill __________ the game.
             a. doesnt play                       c. dont play
             b. doesnt plays                     d. dont plays
            7.  __________ he _________ that cake?
            a. Does, like                           c. Do, like
            b. Does, likes                         d. Do, likes
            8.  _________ Jane _________ French?
            a. Do, speaks                         c. Does, speaks
            b. Do, speak                          d. Does, speak
            9. John _________ his homework.
            a. dont does                         c. doesnt does
            b. dont do                            d. doesnt do
           10. The baby usually ___________ every night.
            a. cry                                    c. crys
            b. cries                                 d. crying